แชร์

ความแตกต่างของ Critical Load กับ Non-Critical Load

อัพเดทล่าสุด: 5 มิ.ย. 2025
140 ผู้เข้าชม

ความแตกต่างของ Critical Load กับ Non-Critical Load

โหลดวิกฤต (Critical Loads) คืออุปกรณ์หรือระบบที่มีผลโดยตรงต่อการดำเนินงานหลักขององค์กร และจำเป็นต้องใช้งานต่อเนื่องแม้ว่าไฟฟ้าหลักจะขัดข้อง เช่น เซิร์ฟเวอร์ในศูนย์ข้อมูล หรืออุปกรณ์ช่วยชีวิตในโรงพยาบาล

ในขณะที่ โหลดไม่วิกฤต (Non-Critical Loads หรือ Non-Essential Loads) เป็นอุปกรณ์ที่สามารถหยุดทำงานได้เมื่อเกิดไฟดับ เพราะไม่ได้จำเป็นต่อการดำเนินงานหลักขององค์กร เช่น เครื่องพิมพ์ ไฟในสำนักงาน หรือพัดลมตั้งโต๊ะ

ทุกวันนี้ หลายองค์กรพึ่งพาระบบประมวลผลข้อมูลและการสื่อสารอย่างมากจนกลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวัน การล้มเหลวของระบบไม่ว่าจะบางส่วนหรือทั้งหมด อาจส่งผลกระทบร้ายแรง ดังนั้นการมี ระบบสำรองไฟ (UPS) หรือเครื่องปั่นไฟสำรองจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าอุปกรณ์หรือระบบสำคัญยังสามารถทำงานได้ในช่วงที่ไฟฟ้าหลักดับ

โหลดเหล่านี้เรียกว่า โหลดวิกฤต (Critical Loads) ซึ่งต้องใช้งานต่อเนื่องโดยไม่มีไฟดับ หรืออย่างน้อยต้องสามารถปิดระบบได้อย่างปลอดภัย เพื่อป้องกันความเสียหายต่อข้อมูล ระบบ หรืออุปกรณ์

สำหรับองค์กรทั่วไป โหลดสามารถแบ่งเพิ่มเติมได้อีก 2 ประเภท:

  • โหลดจำเป็น (Essential Loads): เป็นโหลดที่ถึงแม้จะไม่เกี่ยวกับการดำเนินงานหลัก แต่ยังมีความสำคัญในแง่ของสุขภาพและความปลอดภัย เช่น ไฟฉุกเฉิน โหลดเหล่านี้ยังต้องการระบบสำรองไฟ แต่ไม่จำเป็นต้องจ่ายไฟอย่างต่อเนื่อง สามารถรอจนกว่าเครื่องปั่นไฟจะเริ่มทำงานได้
  • โหลดไม่วิกฤต (Non-Essential Loads): เป็นโหลดที่องค์กรสามารถยอมให้หยุดทำงานได้เมื่อไฟดับ เช่น เครื่องพิมพ์ ไฟทั่วไป หรือพัดลม

ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการจัดประเภทโหลด
การตัดสินใจว่าโหลดใดเป็นโหลดวิกฤตหรือไม่วิกฤต ควรพิจารณาจากปัจจัยต่อไปนี้:

  • ผลกระทบทางการเงิน เช่น การสูญเสียรายได้ หรือผลกระทบต่อการให้บริการลูกค้า
  • การให้บริการและความสามารถในการดำเนินงาน
  • ผลกระทบต่อการผลิตและประสิทธิภาพการทำงาน
  • ความปลอดภัย คุณภาพ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
  • การรักษาความปลอดภัยและการควบคุมระบบ
  • ชื่อเสียงขององค์กรและความเชื่อมั่นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
เมื่อระบุโหลดวิกฤตได้แล้ว ควรจัดลำดับความสำคัญตามความจำเป็นและระยะเวลาที่ต้องการให้ทำงานในกรณีไฟดับ

ตัวอย่างเช่น โหลดบางประเภทอย่างเซิร์ฟเวอร์ในพื้นที่ อาจต้องการเพียงพลังงานสำรองเพื่อปิดระบบอย่างปลอดภัย แต่ในกรณีของอุปกรณ์ช่วยชีวิตในโรงพยาบาลหรือเครือข่ายโทรคมนาคม อาจต้องการพลังงานต่อเนื่องให้นานที่สุด การจัดลำดับความสำคัญนี้เรียกว่า การปลดโหลด (Load Shedding)

หากท่านไม่แน่ใจว่าโหลดที่ใช้งานของท่านคือโหลดชนิดไหน BT Connect ให้บริการดูหน้างานเพื่อประเมินความต้องการด้านพลังงานของลูกค้าอย่างละเอียด ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมนำเสนอเครื่องสำรองไฟที่เหมาะสมกับประเภทโหลดวิกฤตและโหลดไม่วิกฤต เพื่อให้มั่นใจในความต่อเนื่องของการดำเนินงานขององค์กร เรามุ่งมั่นที่จะส่งมอบโซลูชันที่ตอบโจทย์ทั้งด้านประสิทธิภาพและความคุ้มค่า

บทความที่เกี่ยวข้อง
วิธีป้องกันแบตเตอรี่ UPS เสื่อมสภาพก่อนเวลา
ที่ BT Connect เราจัดจำหน่ายระบบ Battery Monitoring ที่มีคุณภาพสูงและเหมาะสำหรับการใช้งานในทุกอุตสาหกรรม เรามุ่งเน้นการให้บริการโซลูชันที่ทันสมัย เพื่อช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบและจัดการแบตเตอรี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทีมงานของเราพร้อมให้คำปรึกษาและสนับสนุนทุกความต้องการของลูกค้าในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
16 ม.ค. 2025
ความแตกต่างระหว่าง Line Interactive UPS กับ Online UPS
การเลือกเครื่องสำรองไฟ (UPS) ที่เหมาะสมกับการใช้งานเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะเมื่อต้องเลือก Line Interactive UPS หรือ Online UPS เพราะทั้งสองแบบมีจุดเด่นและจุดแตกต่างกันในเรื่องคุณสมบัติและประสิทธิภาพการป้องกันระบบไฟฟ้า
16 ม.ค. 2025
วิธีเลือกเครื่องสำรองไฟ (UPS) สำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรม
เครื่องสำรองไฟในอุตสาหกรรม (Industrial UPS) ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมที่สมบุกสมบัน เช่น โรงงานอุตสาหกรรม พื้นที่ทำเหมือง โรงกลั่นน้ำมันและก๊าซ อุตสาหกรรมเคมี โรงไฟฟ้า โรงงานผลิตเวิร์กช็อป หรือแท่นขุดเจาะนอกชายฝั่ง เป็นต้น ในสภาพแวดล้อมเหล่านี้ อุปกรณ์มักต้องเผชิญกับสภาวะที่รุนแรง เช่น ฝุ่นละอองจำนวนมาก การขาดระบบควบคุมอุณหภูมิและความชื้น (HVAC) และคุณภาพไฟฟ้าที่ไม่เสถียร ดังนั้นการเลือก UPS ที่เหมาะสมจึงสำคัญมาก เพื่อให้ระบบไฟฟ้ามีเสถียรภาพและปลอดภัย
16 ม.ค. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ